ชีววิทยา เรื่อง โครงสร้างของพืช
จัดทำโดย
นายทศพล เสนาโปธิ
เลขที่ 28 ม.5.7
เสนอ
ครูนาฏองค์ จันทร์ฉาย
โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ เชียงราย
ดอกดาวเรือง
เป็นไม้ดอกที่คนไทยรู้จักกันดีชนิดหนึ่งเนื่องจากปลูกง่าย โตเร็ว
คงทนต่อสภาพแวดล้อม มีสีสันสดใสสะดุดตา ดอกมีลักษณะกลมสวยงาม
กลีบดอกจัดเรียงเป็นระเบียบ กลีบดอกยึดแน่นกับฐานดอก ไม่หลุดง่าย
อายุการใช้งานนานประมาณ 7-10 วัน
นอกจากนี้ ดาวเรืองยังเป็นพืชที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น ประมาณ 60-70 วัน ก็สามารถตัดจำหน่ายได้
รวมทั้งดาวเรืองยังเป็นพืชที่ขึ้นได้ดีทุกสภาพพื้นที่และทุกฤดูกาลของประเทศ
และเป็นไม้ดอกสามารถทำรายได้ให้กับผู้ปลูกสูง
ในปัจจุบันการปลูกดาวเรืองนอกจากจะปลูกเพื่อตัดดอกขายแล้ว
สามารถปลูกลงกระถางหรือถุงพลาสติกเพื่อใช้ประดับตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ต่าง ๆ
รวมทั้งมีการปลูกเพื่อเก็บเมล็ดส่งโรงงานอาหารสัตว์อีกด้วย
แหล่งปลูก ดาวเรืองที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดพะเยา ลำปาง นนทบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร อุดรธานี และกรุงเทพฯ
แหล่งปลูก ดาวเรืองที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดพะเยา ลำปาง นนทบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร อุดรธานี และกรุงเทพฯ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : TAGETES ERECTAL
ชื่อสามัญ : MARIGOLD
ชื่อพื้นเมือง: ดอกคำพู่จู้ คำปูจู้หลวง ดาวเรืองใหญ่ พอทู ดาวเรืองอเมริกัน
ชื่อวงศ์: Compositae
อาณาจักร plantae
ส่วน magenliophyta
ส่วน magenliophyta
ชั้น magenlpsida
อันดับ asterales
วงศ์ compositae
สกุล tagetes
สปีชีส์ t.erecat
ลักษณะทั่วไป:
ใบ ใบประกอบแบบขนนก เรียงตรงข้าม ใบย่อยรูปรีถึงรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน กว้าง 0.5-1.5 เซนติเมตร ยาว 1.5-5 เซนติเมตร ปลายใบแหลม
โคนใบสอบแคบ ขอบใบจักฟันเลื่อย ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้ม
ดอก มีหลายสี เข่น สีขาว เหลือง เหลืองทอง และส้ม ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกเดี่ยวที่ปลายกิ่ง
ดอกวงนอกกลีบดอกเป็นรูปรางน้ำซ้อนกันแน่น โคนกลีบดอกเป็นหลอดเล็ก
ปลายแผ่เป็นรูปไข่กลับ ดอกวงในกลีบดอกเป็นหลอดสีเหลืองปลายจักเป็น 5 ซี่ ดอกบานเต็มที่กว้าง 5-8 เซนติเมตร
มีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน
ฝัก/ผล ผลแห้งไม่แตก มีสีดำ
ฝัก/ผล ผลแห้งไม่แตก มีสีดำ
ฤดูกาลออกดอก: ตลอดปี
การปลูก: ปลูกประดับเป็นจุดเด่นในสวนหรือปลูกเป็นกลุ่ม
ริมถนน ทางเดิน
การดูแลรักษา: ต้องการแสงแดดจัด สามารถเจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด
การขยายพันธุ์: เพาะเมล็ด, ปักชำยอด
ส่วนที่มีกลิ่นหอม: ดอกกลิ่นหอมฉุน
การใช้ประโยชน์: - ไม้ประดับ - สมุนไพร - สีของดอกใช้เป็นสีย้อมผ้า - ดอกดาวเรืองผสมในอาหารสัตว์เป็นอาหารเสริม เนื่องจากดาวเรืองเป็นพืชที่สารแซธโธฟิล (Xanthophyll) สูง จึงสามารถนำไปเป็นส่วนผสมอากหารสัตว์ได้ดี โดยเฉพาะอาหารของของไก่ไข่ จะทำให้ไข่แดงมีสีแดงสดใสน่ากินยิ่งขึ้น - ป้องกันแมลง เนื่องจากดาวเรืองเป็นสารที่มีกลิ่นเหม็นแมลงไม่ชอบ จึงสามารถใช้เป็นเกราะป้องกันแมลงให้แก่พืชอื่น ๆ ในรากของดาวเรืองมีสารชนิดหนึ่งคือ แอลฟ่า เทอร์เธียนิล (& - terthienyl) ซึ่งเป็นสารที่สามารถควบคุมปริมาณไส้เดือนฝอยในดินได้เป็นอย่างดี - เพื่อจำหน่าย ดาวเรืองเป็นไม้ดอกที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ใช้ทำพวงมาลัย ใช้ปักแจกัน
ถิ่นกำเนิด: ประเทศเม็กซิโก, อเมริกาใต้
สรรพคุณทางยา: - ใบ มีสรรพคุณพอกแผลฝี ทาแผลเน่าเปื่อย น้ำคั้นจากใบแก้ปวดหู - ดอก แก้ริดสีดวงทวาร ขับเสมหะแก้เจ็บตา เวียนศีรษะ ไอกรน คางทูม
การดูแลรักษา: ต้องการแสงแดดจัด สามารถเจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด
การขยายพันธุ์: เพาะเมล็ด, ปักชำยอด
ส่วนที่มีกลิ่นหอม: ดอกกลิ่นหอมฉุน
การใช้ประโยชน์: - ไม้ประดับ - สมุนไพร - สีของดอกใช้เป็นสีย้อมผ้า - ดอกดาวเรืองผสมในอาหารสัตว์เป็นอาหารเสริม เนื่องจากดาวเรืองเป็นพืชที่สารแซธโธฟิล (Xanthophyll) สูง จึงสามารถนำไปเป็นส่วนผสมอากหารสัตว์ได้ดี โดยเฉพาะอาหารของของไก่ไข่ จะทำให้ไข่แดงมีสีแดงสดใสน่ากินยิ่งขึ้น - ป้องกันแมลง เนื่องจากดาวเรืองเป็นสารที่มีกลิ่นเหม็นแมลงไม่ชอบ จึงสามารถใช้เป็นเกราะป้องกันแมลงให้แก่พืชอื่น ๆ ในรากของดาวเรืองมีสารชนิดหนึ่งคือ แอลฟ่า เทอร์เธียนิล (& - terthienyl) ซึ่งเป็นสารที่สามารถควบคุมปริมาณไส้เดือนฝอยในดินได้เป็นอย่างดี - เพื่อจำหน่าย ดาวเรืองเป็นไม้ดอกที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ใช้ทำพวงมาลัย ใช้ปักแจกัน
ถิ่นกำเนิด: ประเทศเม็กซิโก, อเมริกาใต้
สรรพคุณทางยา: - ใบ มีสรรพคุณพอกแผลฝี ทาแผลเน่าเปื่อย น้ำคั้นจากใบแก้ปวดหู - ดอก แก้ริดสีดวงทวาร ขับเสมหะแก้เจ็บตา เวียนศีรษะ ไอกรน คางทูม
ลักษณะทั่วไปของดอกดาวเรือง
ดาวเรือง (Marigold) เป็นชื่อที่คนไทยทั่วไปผู้จักกันดี
แต่มีชื่อภาษาท้องถิ่นทางภาคเหนือว่า "ดอกคำปู้จู้"
ซึ่งหมายถึงดอกไม้ที่มีกลีบสีเหลืองคล้ายทองคำ ดาวเรืองเป็นพืชล้มลุก อายุประมาณ 0.5-4
ฟุต ใบเป็นใบประกอบ มีลักษณะเรียวยาว ดอกมีลักษณะเป็นแบบดอกรวม
ประกอบด้วยดอกย่อยเล็ก ๆ เป็นจำนวนมาก อัดซ้อนกันแน่นอยู่บนฐานรองดอก
ดอกมีสีเหลือง ส้ม ครีม และขาว มีตั้งแต่ขนาดเล็ก คือประมาณ 1 นิ้ว จนถึงขนาดใหญ่ประมาณ 4 นิ้ว และเมื่อตัดลำต้น
กิ่งก้านหรือใบของดาวเรือง จะมีกลิ่นเหม็น จึงทำให้แมลงไม่ค่อยรบกวน
นอกจากนี้ภายในรากของดาวเรืองมีสารชนิดหนึ่งคือ แอลฟ่า เทอร์เธียนิล (&
- terthienyl) ซึ่งเป็นสารที่สามารถควบคุมปริมาณไส้เดือนฝอยในดินได้เป็นอย่างดี
โครงสร้างของราก
โครงสร้างภายในของราก
1. เอพิเดอร์มิส (Epidermis)คือ ส่วนที่อยู่นอกสุด ประกอบด้วยเซลล์ผิว
2. คอร์เทกซ์ (Cortex)คือ ประกอบด้วยเซลล์หลายแถวอยู่ระหว่างเอพิเดอร์มิสและบริเวณสตีลส่วนใหญ่เป็นพาเรงคิมา (Parenchyma) ที่ทำหน้าที่สะสมน้ำและอาหาร
3. ไซเลม (Xylem) คือ เนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและสารอาหารไปสู่ส่วนต่างๆของพืช
4. โฟลเอม (Phloem)คือ เนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ลำเลียงอาหารที่ใบสังเคราะห์ขึ้นไปสู่ส่วนต่างๆของพืช
โครงสร้างภายในของสำต้น
1. เอพิเดอร์มิส (Epidermis) คือ เนื้อเยื่อที่อยู่นอกสุด ทำหน้าที่ป้องกันเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านใน
2.ท่อลำเลี้ยง เป็นส่วนที่ลำเลี้ยงอาหารของพืชซึ่งประกอบด้วย Pholem และ Xylem
3.พิธ (pith) เป็นบริเวณตรงกลางของราก
โครงสร้างของใบ
โครงสร้างภายนอก
หน้าใบ
หลังใบ
ชนิดของใบ (Leaf type) :ใบประกอบ (compound leaf) คือใบที่มีใบย่อย (leaflet) มากกว่าหนึ่งใบบนก้านใบ
การเรียงของใบ (Leaf Arrangement) การเรียงใบแบบตรงข้าม (opposite) การเรียงใบสองใบที่ออกจากข้อของลำต้นหรือกิ่งเป็นคู่ๆทำมุมประมาณ 180องศา
รูปร่างใบ Leaf Shape รูปหยักแบบขนนก(pinnatifid) แผ่นใบหยักคล้ายขนนก โดยหยักลึกประมาณครึ่งหนึ่งของระยะจากขอบใบถึงเส้นกลางใบ
รูปร่างปลายใบ (Leaf Apex) แหลม (acute) ปลายใบจะค่อยๆเรียวเข้าบรรจบกัน ลักษณะเป็นมุมแหลม
รูปร่างฐานใบ (Leaf Base):รูปครีบ (decurrent) ฐานใบยาวลงมาตามก้านใบเป็นครีบ
ขอบใบ entire จักฟันเลื่อยซ้อน (double serrate) ขอบใบหยักฟันเลื่อย ซึ่งแต่ละซี่จะมีหยักย่อยแซมอีกชั้น
โครงสร้างภายใน
1.เอพิเดอร์มิส (Epidermis) : อยู่ชั้นนอกสุดทั้งบนและล่างใบ ประกอบด้วยเซลล์ผิว เซลล์คุม และขน
2.มีโซฟิลล์ (MesohpyII) : อยู่ระหว่างชั้นเอพิเดอร์มิสทั้งสองด้าน ประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมาที่มีคลอโรพลาส์จำนวนมาก
2.1 แพลิเซตมีโซฟิลล์ (Palisade mesophyII) : มักจะอยู่ติดกับชั้นเอพิเดอร์มิสด้านบน มีเซลล์รูปร่างเรียวยาว เรียงแถวตั้งฉากกับใบ ภายในเซลล์จะมีคลอโรพลาส์มากกว่าด้านล่าง ทำให้ใบด้านบนมีสีเขียวมากกว่าด้านล่าง
2.2 สบันจีมีโซฟิลล์(Spongy mesophyII) : อยู่ถดจากแพลิเซดมีโซฟิลล์ลงมาจนถึงชั้นเอพิเดอร์มิสด้านล่าง ประกอบด้วยเซลล์ที่เรียงตัวกันไม่แน่นอน มีทิศทางที่ต่างๆกัน จึงทำให้เกิดช่องว่าระหว่างเซลล์เป็นจำนวนมาก
3.กลุ่มท่อลำเลียง : อยู่บริเวณเส้นกลางใบ เส้นใบต่างๆ ประกอบไปด้วย ไซเลมและโฟลเอม
อ้างอิง http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87
http://web3.dnp.go.th/botany/BFC/leaf.html#base